ในเกมที่สตาร์ตัวหลักสองคนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกกลางคันแต่สุดท้ายนักเตะที่เหลืออยู่ก็ช่วยกันจนได้โทรฟี่มาเพิ่มอีกใบถือเป็นอีกหนึ่งความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล
ในเกมที่ก็หลายอย่างได้ถ่ายทอดออกมาเหมือนนัดชิงคาราบาว คัพที่คลื่นมนุษย์สีแดงจัดเต็มมากกว่า ทั้งเข้าสนามเร็วกว่า, ร้องเพลงดังกว่ารวมถึงพยายามให้กำลังใจทีมตัวเองตลอดก็เป็นอีกชิ้นหลักฐานถึงแพสชั่นอันบ้าคลั่งของเดอะ ค็อป
“Liverpool Liverpool Liverpool”กระหึ่มขึ้นตอนที่นักเตะวิ่งลงมาวอร์มโดยเมื่อย้ายสายตาไปอีกข้างเก้าอี้ของสแตนด์ฝั่งเชลซีคงว่างอยู่หลายจุด
มันจึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เดิมๆในสังเวียนเดียวกันเท่านั้นสำหรับนัดชิงเอฟเอ คัพเมื่อเย็นวันเสาร์ เกมที่กินกันไม่ลงใน120นาทีต้องไปตัดสินด้วยการดวลลูกโทษ จะมีต่างเล็กน้อยก็แค่หนนี้ไม่ต้องถึงนายทวารสองทีมมายิงเพราะมันจบลงเพียงเพชฌฆาตคนที่7
“ผมไม่สามารถจะภูมิใจในลูกทีมของผมได้มากกว่านี้อีกแล้ว ทุกคนทุ่มเทกันเท่าที่ร่างกายจะทำได้ แน่นอนว่าก็น่าเห็นใจเชลซีเหมือนกับลีก คัพเพราะพวกเขาก็สมควรเป็นแชมป์เช่นกัน มันเป็นเพียงเรื่องของรายละเอียดเล็กน้อยที่ทำให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้…”
เจอร์เก้น คล็อปป์ผลักประตูเข้าห้องเพรสในเวมบลีย์ซึ่งต่างจากหลายสนามตรงที่จัดไว้ตรงชั้นใต้ถุนโดยสวมเสื้อยืดสีแดงที่สกรีนทำมาเพื่อความสำเร็จล่าสุดรวมไปถึงก็คล้องเหรียญแชมเปี้ยนเข้ามานั่งอยู่หน้าทัพสื่อมวลชนนับร้อย
ก็มีอยู่บางประโยคต่อมาที่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดโม ซาล่าห์กับเวอร์กิล ฟาน ไดค์ถึงโดนเปลี่ยนออกมาระหว่างเกม นี่เป็นเกมที่60แล้วประจำซีซั่นนี้ของสโมสรตราหงส์ซึ่งต่อให้ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์การกีฬาล้ำสมัยแค่ไหนแต่ยังไงซะร่างกายมนุษย์ก็มีขีดจำกัดตัวเอง

“เป็นแค่การระวัง เราไม่อยากเสี่ยงซึ่งทั้งสองคนน่าจะโอเค”คล็อปป์อธิบายถึงคำถามที่หลายคนคงมีความสงสัย
เชลซี v ลิเวอร์พูล
โธมัส ทูเคิ่ล v คล็อปป์
ไม่ว่าจะเจอกันตอนไหนก็เป็นเกมที่สู้กันได้สมน้ำสมเนื้อ ผมเคยพูดเสมอว่าเรื่องของจุดโทษก็เหมือนโยนเหรียญหัว/ก้อยซึ่งก็มักโหดร้ายเสมอสำหรับผู้ที่พ่ายแพ้ บ่อยหนด้วยซ้ำผู้ที่ได้รับการชูถ้วยก็ใช่ว่าจะเหนือกว่าในเกมปกติ
นัดชิงเอฟเอ คัพก็เช่นกันต่อให้ออกสตาร์ทครึ่งแรกเป็นเครื่องจักรสีแดงที่ไล่บดขยี้ฝ่ายเดียว ตอนนั้นบทเพลง’Allez, Allez, Allez’ดังออกมาจึงยิ่งกระตุ้นให้นักเตะฮึกเหิม ในนาทีที่8ก็เป็นหลุยส์ ดิอาซที่หลุดเดี่ยวจากการเปิดไซส์ก้อยของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ควรเบิกสกอร์ออกนำให้ทีมได้
เชลซีเริ่มต้นเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอนจนทำให้ทูเคิ่ลต้องหันไปปรึกษาทีมสตาฟฟ์ทันทีทว่าด้วยคุณภาพของทีมแชมเปี้ยนยุโรปจึงทำให้ไม่นานจากนั้นก็ค่อยๆกลับเข้าสู่เกมโดยอาศัยเน้นขึ้นเกมทางกราบสองข้างไม่ว่าจะทางขวาที่มีรีซ เจมส์หรือทางซ้ายที่มีมาร์กอส อลอนโซ่ประจำการ
มีจุดหนึ่งที่คล้ายกับนัดชิงคาราบาว คัพก็อยู่ที่ทีมสิงโตสีน้ำเงินเองสามารถกดดันเกมรับลิเวอร์พูลได้แล้ว การเจาะเข้าไปตรงพื้นที่ด้านหลังแบ็กโฟร์มี3-4หนเลยที่ได้บอลทะลุไปถึงในเขตโทษ อีกนั่นแหละความไม่เฉียบขาดพอได้ย้อนมาทำร้ายพวกเขา
โรเมลู ลูกากูเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวแห่งฤดูกาลโดยจำนวนประตู 15 ลูกทุกรายการถือว่าต่ำเกินไปต่อใครก็ตามที่มีราคาเฉียดร้อยล้านปอนด์
โชคร้ายของเชลซีเมื่อไค ฮาเวิร์ตซ์ที่มีการคาดกันว่าจะเป็นตัวจริงเกิดเจ็บกระทันหันจนไม่มีชื่อกระทั่งสำรอง นี่จึงเป็นโอกาสที่ทูเคิ่ลอยากยื่นให้หัวหอกทีมชาติเบลเยี่ยมที่ดูงอแงมาตลอด กระแสข่าวที่ออกมาจึงมีแต่ด้านลบเช่นคิดอยากย้ายทีม
ผมพยายามสังเกตลูกากูทุกฝีก้าวซึ่งก็เอาง่ายๆว่าไปเปรียบเทียบอีกด้านที่มีซาดิโอ มาเน่รับบทตัวเป้าก็พบความแตกต่างชัดเจนตรงแรงกระหายของความอยากเอาชนะ คือไม่ใช่แค่ปรารถนาพังตาข่ายให้ทีมแต่อย่างตอนที่บอลถ่ายไปมาระหว่างคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟหรือส่งกลับคืนให้อลิสซงก็แทบไม่มีเลยที่คิดสับฝีตีนพุ่งเข้าหา
เรื่องแบบนี้มันก็ใช่ว่าจะส่งผลในแง่ของการเพรสคู่แข่ง มันก็ยังมีเอฟเฟกต์ไปถึงเพื่อนร่วมทีมตลอดจนกองเชียร์ทุกคนที่ดูอยู่
จะใครก็ตามย่อมชอบที่มีผู้เล่นที่ถลกแขนเสื้อเพื่อทีมอยู่แล้ว
นี่เองเป็นบางปัจจัยที่ทำให้สองครั้งสองรายการลงเอยด้วยพลุควันสีแดงที่ปกคลุมเวมบลีย์ เสียงโห่ร้องนั้นก็คือเสียงของความปิติยินดีที่ทีมรักยังเดินหน้าต่อไปกับความฝันที่ดูบ้าบอ ก็นั่นเองจะได้กี่แชมป์ก็ตามไม่สำคัญเท่าว่ามันได้พิสูจน์แล้วถึงมาตรฐานที่ทำให้นกสีแดงตัวหนึ่งสยายปีกบนฟ้าอย่างองอาจ
“It is mentality monsters”อีกบางคำพูดจากคล็อปป์ในห้องเพรส
ไม่มีทีมใดที่ประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากหัวใจของนักสู้ บางทีเราอาจคิดว่ามันก็แค่โชคเช่นปี1999ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำสองลูกตอนทดเจ็บคว้าแชมป์ยุโรป, ปี2005ลิเวอร์พูลที่ตามเอซี มิลาน0-3ในครึ่งแรกมาตีคืนรวดเดียวสามลูกจนสุดท้ายก็ได้เถลิงบัลลังก์ด้วยการเตะจุดโทษและอีกหลายต่อหลายครั้งไม่ใช่แค่กีฬาฟุตบอลด้วย
ซาล่าห์ส่งสัญญาณขอเปลี่ยนตัวตั้งแต่เกมผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเศษซึ่งทั่วไปแล้วคุณเสียนักเตะหมายเลขหนึ่งไปก็ย่อมเป็นความเสียหาย
p-โอเค-ดีโอโก้ โชต้าที่ลงมาแทนก็อาจไม่ได้มีบทบาทเท่าไร ถึงกระนั้นภาพรวมก็เป็นกลุ่มก้อนของผู้เล่นทีมๆหนึ่งที่ต่างช่วยกันตามหน้าที่ของตน พวกเขาก็มีโอกาสชนะในเกมด้วยโดยเฉพาะจังหวะที่เจมส์ มิลเนอร์เปิดจากขวาเข้าไปเสาสองให้แอนดี้ โรเบิร์ตสันเข้าชาร์จชนเสา
นี่ครับเป็นจุดแข็งที่สุดของลิเวอร์พูลชุดนี้
พวกเขาไม่ใช่ทีมที่ใช้เงินเยอะสุด ไม่ใช่ทีมที่มีขุมกำลังดีที่สุด ไม่ได้ว่ามีนักเตะที่เก่งสุดทุกตำแหน่งแต่เป็นทีมที่มีดีเอ็นของผู้ชนะไหลเวียนอย่างเต็มเปี่ยม
มีการวิเคราะห์ถึงพอต้องไปตัดสินด้วยการดวลลูกโทษนั้นก็เป็นกิริยาของคล็อปป์ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำออกมาทันทีโดยเพียง60วินาทีแรกเขาก็ได้เลือกคนที่ลงไปสังหารเรียบร้อยแถมมีการเรียกมาติวเข้มตัวต่อตัวด้วยจากนั้นก็ตามด้วยการสวมกอดให้กำลังใจ
มีการจับเวลาทั้งหมดสำหรับการประชุมเพื่อชี้เป็นชี้ตายหาแชมป์ถ้วยที่มีอายุยาวนาน150ปีภายในเวลาไม่ถึง2นาที ทางตรงกันข้ามที่ทูเคิ่ลนั้นใช้เวลานานกว่าในการจะเลือกคน เขาอยู่ตรงกลางวงล้อมนักเตะเชลซีโดยที่ในมือถือกระดาษกับปากกาคล้ายว่ากำลังจดลำดับของเพชฌฆาต
ตอนนั้นเองที่นักเตะลิเวอร์พูลเดินไปในวงกลมกลางสนามเพื่อรอแล้วซึ่งจุดนี้ก็เหมือนแสดงออกถึงความพร้อมที่มากกว่าอันมาจากการเตรียมการไว้ก่อนว่าหากเกมต้องยืดเยื้อมาถึงฎีกาต้องทำอย่างไร
นี่ครับเป็นบัญญัติของศัพท์ว่า’mentality monsters’
เป็นไปได้อย่างไรที่ยิงจุดโทษมาจากลีก คัพถึงเอฟเอ คัพก็มีพลาดเพียงมาเน่คนเดียว ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเพราะเจอเพื่อนร่วมชาติเซเนกัลเป็นนายทวารฝ่ายตรงข้ามที่ก็อ่านใจกันออก
เหลือเชื่อครับ เหลือเชื่อที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น