วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ปรากฏการณ์’โรนัลโด้’

“แน่นอนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งเอาเฉพาะผ้าพันคอที่ผมมีอยู่ในถุงก็ขายไปได้แล้วกว่า 500 ผืน ไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนที่ทำได้เท่านี้”พ่อค้าที่รู้จักกันมาหลายปีบอกเอาไว้พร้อมรอยยิ้มมุมปากท่ามกลางฝูงมนุษย์ที่กำลังเดินกันขวักไขว่

ผมเองก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเช่นกัน…

ปกติบอลที่เตะบ่ายสามก็สามารถจองรถไฟขึ้นจากลอนดอนได้สบายๆในรอบสิบโมงเช้า ใช้เวลาสองชั่วโมงก็ถึงจุดหมายโดยนั่นแปลว่าประมาณเที่ยงเศษก็ถึงแมนเชสเตอร์แต่ไม่ใช่สำหรับเกมเมื่อวันเสาร์เนื่องจากมันเต็มทุกรอบนับจากเก้าโมงเช้าเป็นต้นไป

แม้กระทั่งยอมตื่นเร็วไปตั้งแต่รอบแปดโมงแล้วก็ยังพบว่าแทบทุกที่นั่งมีคนจับจองไว้หมด หลายคนสวมยูนิฟอร์มโลโก้อสูรที่บ่งบอกว่ากำลังไปรอรับการกลับมาของฮีโร่พวกเขาอย่างพร้อมเพียง

คิดอยากจะอ่านหนังสือ?

คิดอยากจะหลับสักงีบ?

“Viva Ronaldo Viva Ronaldo Running down the wing Hear United sing…Viva Ronaldo”ดังขึ้นอยู่ต่อเนื่องทันทีที่รถไฟแล่นออกจากสถานีในลอนดอน

ใช่ครับ ผมจึงอยากขนานนามมันว่า’ปรากฎการณ์’

เพราะตลอดทั้งวันนับจากเช้าหันไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแฟนบอลสวมเสื้อที่ปักชื่อกับเบอร์”RONALDO 7″โดยยังพบได้กับคนทุกเพศทุกวัยและทุกเชื้อชาติ นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายคนด้วยกันที่เดินทางมายังอาณาจักรสีแดงพร้อมด้วยแผ่นผ้าหรือแผ่นกระดาษที่บรรจงเขียนข้อความ”Welcome Home”ให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้

ขอย้ำอีกทีว่าผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน

ยิ่งกับโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดด้วยแล้วที่จุผู้ชมได้ถึง75,000คนจึงยิ่งทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ด้านรอบนอกที่มีแผงลอยขายสินค้าที่ระลึกก็มีครบทุกสิ่งให้เลือกที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นหมายเลข7คนใหม่

จะเสื้อยืด, ธง, หมวกจนถึงผ้าพันคอ

ผมไปถึงสนามก่อนเที่ยงก็พบกองเชียร์ผีมากันหนาตาแล้ว หลายคนก็ยังเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ตั้งแต่รุ่นเด็กน้อยไปถึงรุ่นคุณลุงคุณป้า แน่นอนว่าคิวที่ต่อแถวเพื่อเข้าเมกกะสโตรก็ยังยาวออกมาจนมีข่าวออกมาว่าพนักงานข้างในนั้นหยิบเสื้อ”RONALDO 7″ไปวางแขวนบนราวแทบไม่ทัน!!

ตัดเข้าไปภายในสนาม เสียงไชโยก็แผดลั่นเพียงแค่ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสวัย36วิ่งเหยาะๆลงมาวอร์มซึ่งตอนที่โฆษกประกาศรายชื่อว่าได้ลงเป็นตัวจริงก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเหตุใดสำหรับคนบางคนแล้วเขาเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง



คำว่าซูเปอร์สตาร์อาจใช้กันเกลื่อนแต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เหมือนโรนัลโด้

การต้อนเอาชนะนิวคาสเซิ่ล4-1อาจไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดเนื่องจากพวกเขาเหนือกว่าอาคันตะกุจากนอร์ธอีสต์ในทุกแง่มุมอยู่แล้ว ถึงกระนั้นสิ่งที่สัมผัสได้ตลอด90นาทีก็เป็นแรงขับเคลื่อนของขุนพลปีศาจแดงโดยมีผู้เล่นหมายเลข7เป็นผู้นำ

จะตอนตั้งรับลูกเตะมุมก็มีการปรบมือปลุกเร้าให้ระมัดระวัง

จะตอนที่ได้บอลบุกก็มีการชี้นิ้วให้เพื่อนวิ่งหาช่อง

เหนืออื่นใดมันก็เหมือนกับบทละครที่ถูกเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องเป็นเขาที่พังประตูแรกให้ทีมขึ้นนำ1-0ก่อนที่จะมาบวกสกอร์เพิ่มได้อีกลูกหลังจากโดนตีเสมอ1-1ได้เพียง6นาที

ถูกต้อง มันก็มีนักเตะที่ราคาแพงหรือพวกที่ได้รับการยกย่องว่าฝีเท้าดีจำนวนไม่น้อยที่ต้องอาศัยการปรับตัวบ้าง ไม่สามารถแบกรับความกดดันได้บ้างทว่านั่นไม่ใช่สำหรับโรนัลโด้บนอายุที่ว่ากันตามตรงก็ควรจะแขวนสตั๊ดไปบำเรอชีวิตได้แล้ว

“ผมไม่คาดหวังจะทำได้ถึงสองลูก ผมแค่คาดหวังว่าจะยิงได้แค่หนึ่งลูกเท่านั้น มันจึงเป็นโมเมนต์ที่เหลือเชื่อของตัวเอง”เจ้าตัวกล่าวบนใบหน้าที่อวบอิ่มหลังเกม

12 ปีที่ย้ายออกไปแสวงหาความท้าทายกับเติมเต็มความฝันให้ตัวเอง เมื่อถึงวันหนึ่งได้กลับมายังบ้านหลังสีแดงอีกครั้งก็คงเป็นนักเตะคนเดิมคนนั้นไม่เคยเปลี่ยน

คงหิวกระหาย

คงมุ่งมั่นทุ่มเท

คงเป็นตัวจุดประกาย

คงเป็นตัวทีเด็ด

ก่อนหน้านี้เคยมีคนตั้งคำถามถึงการเซ็น’CR7’กลับมาของแมนฯยูไนเต็ดว่าเอามาเพื่ออะไร? แค่การตลาดเท่านั้นหรือเปล่า? ก็ไม่ใช่ข้อสงสัยเลยจากเอฟเฟกต์ทุกอย่างทั้งดัชนีหุ้นที่พุ่งขึ้น, ยอดขายเสื้อที่ทำลายทุกสถิติ, ราคาตั๋วในตลาดมืดอย่างเกมกับสาลิกาก็มีบางแหล่งตั้งราคาไว้ประหนึ่งนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกถึงหลัก2,000ปอนด์จนไปถึงความคาดหวังที่สูงขึ้นจากบรรดากองเชียร์ทั้งหลาย

การมาของคริสเตียโน่คนเดียวจะช่วยให้พวกเขาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้?

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องมาตอบในตอนนี้ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมสามารถยืนยันได้คือปรากฎการณ์ที่คงไม่มีใครอีกแล้วที่เทียบได้ แม้แต่เกมจบผ่านไปร่วมชั่วโมงก็คงมีแฟนบอลรออยู่ในสนาม ร้องเพลง’Viva Ronaldo’ในขณะที่ขวัญใจของพวกเขากำลังให้สัมภาษณ์กับสื่ออยู่ด้านนอก

“ผมมาอังกฤษครั้งแรกตอนอายุ18ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่เพราะพวกเขา(แฟนบอลยูไนเต็ด)ที่ต้อนรับผมอย่างอบอุ่นและก็เช่นกันกับวันนี้ มันยิ่งกว่าความฝันที่กลายเป็นจริง”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น