ตอนสิ้นเสียงนกหวีดยาวจากผู้ตัดสินแอนโธนี่ เทยเลอร์ก็เหมือนการยอมรับซึ่งกันและกันเมื่อเป๊ป กวาร์ดิโอล่ากับเยอร์เก้น คล็อปป์ต่างโผเข้ากอดกัน
โอเค ทางเจ้าถิ่นสีฟ้ามีโอกาสมากกว่าโดยพวกเขาต้องเขกกะโหลกตัวเองด้วยหากสุดท้ายถ้วยแชมป์ถูกนำไปวางที่แอนฟิลด์ อย่างยิ่งโอกาสตอนทดบาดเจ็บของริยาด มาห์เรซที่ได้หลุดเดี่ยวไปแต่เลือกชิพบอลข้ามอลิสซงจนข้ามคานแม้ว่าใกล้ๆกันนั้นมีฟิล โฟเด้นรออยู่
โอเค ทางทีมเยือนสีแดงก็ดูมีหลายจังหวะเลยที่ถูกโจมตีตรงพื้นที่ด้านหลังแนวรับซึ่งถือเป็นจุดที่คู่ต่อสู้มักงัดมาใช้กับแท็กติก’High Line’ที่คล็อปป์นิยม กระนั้นก็ต้องชื่นชมการปลุกกระตุ้นในห้องแต่งตัวตอนพักครึ่งที่ทำให้ครึ่งหลังลงมาเร่งฟอร์มได้ดีขึ้น
“เราหวังมาเพื่อชนะ แน่นอนว่าเราผิดหวังที่ไม่ชนะแต่เมื่อคุณดูคุณภาพของซิตี้กับคุณภาพของเกมแล้วก็ต้องยอมรับกับหนึ่งคะแนน นี่เป็นเกมที่คุณไม่สามารถปล่อยการ์ดตกได้เลยเพราะเมื่อไรที่เกิดขึ้นก็จะโดนน็อกทันที เรายังต้องไล่ล่าพวกเขาต่อไป เราจะไม่ยอมแพ้”กุนซือชาวดอยทช์ให้สัมภาษณ์ด้วยแววตามุ่งมั่นเหมือนเคย
คำว่า’มาเพื่อชนะ’ไม่ได้ดูโอ้อวดเกินไปเลย สีหน้าของคล็อปป์ตอนเกมจบบ่งบอกเช่นนั้นว่าเขาผิดหวังที่ไม่ได้ชัยชนะกลับเมอร์ซี่ย์ไซด์หรือพิจารณาจากการเปลี่ยนตัวก็ได้ เริ่มจากลุยส์ ดิอาซแทนดีโอโก้ โชต้า, นาบี เกอิต้าแทนจอร์แดน เฮนเดอร์สันและคนที่สามเป็นโรเบร์โต้ ฟิร์มิโน่แทนซาดิโอ มาเน่

เป็นหลายทีมที่สกอร์เสมอซิตี้ได้ก็ย่อมพอใจโดยเลือกปรับหมากเพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่เสียเพิ่มให้ สิ่งนี้เองที่เป๊ปก็ยังออกมาพูดไว้ในเพรส คอนเฟอเรนซ์หลังเกม
“มันเป็นเกมที่บอกเราว่าทำไมพรีเมียร์ลีกถึงเป็นลีกดีสุดในโลก ต่างฝ่ายต่างอยากเอาชนะ เป็นเกมที่ตื่นเต้นและสนุกตลอดเกม คุณไม่มีทางจะเล่นได้เพอร์เฟกต์เลยในการเจอลิเวอร์พูล สำหรับเกมที่เหลืออยู่อีก 7 เกมนั้นก็ชัดเจนว่าต่างต้องหวังเอาชนะให้ได้หมด ใครพลาดแม้แต่เกมเดียวก็อาจไม่ได้แชมป์”
ไล่ดูโปรแกรมที่เหลือของทั้งสอง
แมนฯซิตี้ : วูล์ฟส์(เยือน), ไบร์ทตัน(เหย้า), วัตฟอร์ด(เหย้า), ลีดส์(เยือน), นิวคาสเซิ่ล(เหย้า), เวสต์แฮม(เยือน)และแอสตัน วิลล่า(เหย้า)
ลิเวอร์พูล : แมนฯยูไนเต็ด(เหย้า), เอฟเวอร์ตัน(เหย้า), นิวคาสเซิ่ล(เยือน), สเปอร์ส(เหย้า), แอสตัน วิลล่า(เยือน), เซาธ์แฮมป์ตัน(เยือน)และวูล์ฟส์(เหย้า)
ก็อาจวิเคราะห์ได้ว่าทางฝั่งหงส์นั้นดูจะเจองานที่หนักกว่า อย่างน้อยก็มีเกมเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีรออยู่สองนัดทั้งแดงเดือดกับเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์(ต่อให้ทั้งสองจะมีผลงานไม่เป็นโล้เป็นพายก็ตาม)กับอีกนัดที่ก็ไม่ง่ายเป็นการต้อนรับสเปอร์สที่เริ่มติดเครื่องภายใต้อันโตนิโอ คอนเต้
หากอีกนั่นแหละใครจะรู้ว่าบางทีหนึ่งคะแนนที่ได้มาจากเอติฮัดในบิ๊กแมตช์เมื่อวันอาทิตย์อาจส่งผลให้บรรดาเดอะ ค็อปได้ฉลองแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ในท้ายที่สุดก็เป็นได้
เพราะมันคือฟุตบอลกีฬาที่ไม่มีอะไรแน่นอน
อย่างต่อมาการเจอกันคู่นี้ไม่ใช่แค่สู้กันเฉพาะใน 90 นาทีของเกม มันเริ่มตั้งแต่การซ้อมกับวางแผนซึ่งอย่างเป๊ปเองจัดตัวเลือกกาเบรียล เชซุสเป็นตัวจริงเกมลีกรอบกว่าสามเดือน หลายคนประหลาดใจแต่พอเกมแข่งขันไปก็กลายเป็นเข้าใจถึงเหตุผล คือไม่ใช่หนึ่งลูกที่ยิงได้แต่ก็ยังเป็นบทบาทที่คอยกดดันแผงหลังลิเวอร์พูลโดยเฉพาะทำให้แอนดี้ โรเบิร์ตสันไม่กล้าเติมเกมรุกบุ่มบ่าม
นอกจากนั้นก็คอยหาจังหวะวางบอลยาวจากหลังไปหน้าเสมอ หลายหนเลยที่จะโฟเด้นก็ดี จะราฮีม สเตอร์ลิ่งก็ตามจนถึงเควิน เดอ บรอยน์ที่ได้ลูกหลุดไปอันเนื่องจากการยืนลอยสูงของแบ็กโฟร์หงส์แดง
ส่วนฝั่งผู้มาเยือนนั้นก็อาจดูไม่ได้มีการวางหมากที่น่าประหลาดใจ อย่างโชต้าก็ได้ลงตามที่เดาได้ถึงกระนั้นการที่เกมในครึ่งหลังกลับมาบีบการขึ้นเกมของซิตี้ได้เร็วก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้ผลเสมอ มีไม่กี่ทีมหรอกที่จะไล่ตีคืนทีมของเป๊ปได้ถึงสองครั้งในเกมเดียว มีไม่กีทีมเช่นกันที่มาเล่นเพื่อหวังเอาชนะถึงรังของเรือใบจนทำให้ใครที่ได้ดูต่างหายใจไม่ทั่วท้องตามกัน
นับจากซีซั่น2018/19เป็นต้นมาแต้มรวมของสองทีมนี้ก็น่าทึ่งที่สุดซึ่งเปรียบเป็นมวยก็คงตัดสินกันไม่ได้ใน 12 ยกหรือเป็นม้าแข่งก็ต้องอาศัยภาพจากกล้องตัดสิน
แมนฯซิตี้ 339 แต้ม, ลิเวอร์พูล 338 แต้ม ส่วนที่ตามมานั้นก็ห่างกันไกลอย่างอันดับสามเชลซีเก็บไปได้ 267 แต้มจนถึงอันดับสี่แมนฯยูไนเต็ด 257 แต้ม
เป๊ปเคยเกาศีรษะพูดถึงทีมของคล็อปป์ไว้ว่า’a pain in the ass’
ขณะที่ทางกลับกันก็มีคำกล่าวเชิงสดุดีออกมาเช่นกันจากบอสของลิเวอร์พัดเลี่ยนทั้งหลาย’Pep is the best coach in the world’
คงไม่มีใครเถียงว่านี่คือยุคของพวกเขาทั้งสองที่ทำให้ทีมที่เหลือได้แต่มองตาปริบๆ
เป็นไปได้ว่าตำแหน่งแชมป์อาจต้องไปตัดสินกันถึงเกมสุดท้ายอีกครั้ง…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น